นครปฐม ปวีณา ประชุมร่วม สสจ. ช่วยเหลือเยียวยาแม่วัย 19 ปี ที่คลอดลูกขาดออกซิเจนและสำลักขี้เทาเสียชีวิต
- ทีมงานมูลนิธิปวีณาฯ

- 26 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที

ปวีณา ประชุมร่วมกับ นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม และนางกิจติยา ใสสอาด พมจ.นครปฐม ช่วยเหลือเยียวยาแม่วัย 19 ปี ที่คลอดลูกขาดออกซิเจนและสำลักขี้เทาเสียชีวิต โดย สสจ.นครปฐม มอบเงินช่วยเหลือส่วนตัวเบื้องต้น พร้อมเร่งนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเยียวยาตามมาตรา 41 ผู้เสียหายจะได้รับเงินเยียวยาประมาณ 320,000-400,000 บาท และขอนำความผิดพลาดไปปรับปรุงการให้บริการโรงพยาบาลป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดซ้ำอีก

วันที่ 26 มิ.ย.68 เวลา 14.00 น. "ปวีณา" พาแม่ที่สูญเสียลูกคนแรกหลังปวดท้องไปคลอดที่โรงพยาบาล น้ำคร่ำแตกแล้วแต่พยาบาลให้อั้นและให้ใช้ขาหนีบไขว้หลัง จนคลอดลูกออกมาทารกขาดออกซิเจน และสำลักขี้เทา 5 วันทารกเสียชีวิต เดินทางไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม เพื่อประชุมหารือกับ นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม และนางกิจติยา ใสสอาด พมจ.นครปฐม หามาตราการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียหายที่ต้องสูญเสียลูกน้อย

ภายหลังการประชุม นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม ได้มอบเงินช่วยเหลือส่วนตัวให้กับผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง พร้อมกล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดจริง ต้องขอโทษและขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด อาจจะเป็นการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะแต่เป็นลักษณะของคนที่อยู่หน้างานที่มีเหตุฉุกเฉินหนักเข้ามา บางเรื่องก็ต้องรับไว้และนำไปปรับปรุงในการบริการ ช่วงเวลานั้นก็ต้องมีการเจาะลงน้ำ แล้วมีวิธีที่ไม่ให้เด็กสำลักขี้เทามาก ซึ่งกรณีนี้ก็จะเป็นเฮือกแรกที่คลอดออกมา เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะช่วยเต็มที่ สำหรับเคสนี้แม่ใช้สิทธิ์ประกันสังคม ส่วนลูกที่เกิดมาจะได้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพทันที ซึ่งจะเยียวยาตามมาตรา 41 โดยจะนำเรื่องเข้าคณะกรรมการโดยเร็วที่สุดภายในเดือนหน้า คาดว่าจะได้รับเงินเยียวยาประมาณ 320,000-400,000 บาท ในส่วนที่คุณแม่กังวลว่าจะสามารถมีลูกต่อไปได้หรือไม่นั้น กรณีนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกันเพราะเป็นการคลอดปกติ แต่อาจจะเป็นเรื่องของมดลูกคว่ำซึ่งจะมีการแนะนำหลังคลอดเพื่อให้คลายกังวลโดยจะประสานโรงพยาบาลนครปฐมเข้ามาให้คำปรึกษาดูแล
ด้านแม่วัย 19 ปี และยาย กล่าวว่า วันนี้มีท่านปวีณาเข้ามาช่วยเหลือและได้มาพบพูดคุยกับ นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม ทำให้ได้รับการช่วยเหลือ สำหรับเรื่องของตนขออยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ไม่อยากให้ไปเกิดขึ้นกับใครอีก ขอขอบคุณ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม นางกิจติยา ใสสอาด พมจ.นครปฐม และสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าวจนได้รับการช่วยเหลือรวดเร็ว

นางปวีณา กล่าวว่า เคสแบบนี้มีหลายจังหวัดมาก สำหรับเคสนี้หลังรับเรื่องก็ได้ประสานกับนพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม และนางกิจติยา ใสสอาด พมจ.นครปฐม ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่อยากให้ผู้บริหารสูงสุดในจังหวัดได้รับทราบปัญหา และจะได้แก้ปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทุกคนเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสียหรือเสียชีวิต อะไรที่เป็นความผิดพลาดเราจะต้องมีการปรับปรุงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งท่านสสจ.นครปฐม ทราบดีแล้ว วันนี้เราก็มาคุยกันแล้วได้ข้อตกลงที่ดี ก็ต้องขอแสดงความเสียใจครับน้องด้วย การผิดพลาดตรงนี้ก็ต้องเป็นบทเรียนให้โรงพยาบาลทั้งประเทศในการปรับปรุง อยากได้เป็นบทเรียนที่มีคุณค่าอย่างยิ่งจะได้ไม่ต้องมีการสูญเสียอีกแบบนี้อีกต่อไป โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามการช่วยเหลือเคสนี้ร่วมกับ นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สสจ.นครปฐม และนางกิจติยา ใสสอาด พมจ.นครปฐม ต่อไป
ความเป็นมา วันที่ 25 มิ.ย.68 เวลา 10.30 น. แม่วัย 19 ปี เดินทางจาก จ.นครปฐม ร้อง “ปวีณา” เล่าว่า ตนปวดท้องจะคลอดลูกที่โรงพยาบาลอำเภอแห่งหนึ่งในจ.นครปฐม ตอนตี 2 ของวันที่ 18 มิ.ย.68 ซึ่งเป็นท้องครั้งแรก และใช้สิทธิประกันสังคม ระหว่างนอนรอคลอดตนรู้สึกปวดท้องถี่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง 8 โมงกว่า ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร มีน้ำคร่ำและเลือดไหลออกมา เด็กพร้อมจะออก ตนมีอาการปวดท้องมากและรู้สึกว่ามีหัวเด็กกำลังจะโผล่ออกมาตนร้องขอพยาบาลให้ทำคลอดหรือผ่าคลอดก็ได้ แต่พยาบาลบอกให้รอก่อน และให้นอนตะแคงข้างเอาขาไขว้ไว้ข้างหลังอั้นไว้ก่อน เพราะพยาบาลต้องไปดูอีกเคสที่เข้ามาใหม่มีภาวะความดันต่ำ ต่อมา 9 โมงเศษ มีพยาบาลมาดูและให้เปลี่ยนท่านอนหงายและให้ถ่างขา ลูกก็ได้คลอดออกมาทันที ผลปรากฏเด็กเกิดภาวะขาดออกซิเจน สำลักน้ำคร่ำขี้เทา รพ.ที่1 ที่ทำคลอดได้ส่งต่อไปรักษาโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ในจ.นครปฐม โดยใช้เวลาส่งตัวนานถึง 3 ชั่วโมง เด็กรักษาอยู่โรงพยาบาลแห่งที่ 2 วันที่ 18-23 มิ.ย.68 เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาเด็กได้เสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 68 เวลา 10.47 น. แพทย์ระบุสาเหตุการตาย “ภาวะสำลักขี้เทา” ยายและแม่โศกเศร้าเสียใจมาก และติดใจสาเหตุการให้บริการของโรงพยาบาลปล่อยให้ปวดท้องนานเกินไปจนน้ำคร่ำแตกแล้วแต่ยังไม่ยอมให้คลอด ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียลูกที่อุ้มท้องมา 9 เดือน จึงอยากให้ รพ.ปรับปรุงการให้บริการดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยให้มากกว่านี้ ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใครอีก และต้องการความเป็นธรรม จึงขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว หลังรับเรื่อง นางปวีณา ประสาน นพ.วิโรจน์ รัตนอมรสกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิต เพื่อช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวที่สูญเสียบุตรคนแรก โดยมูลนิธิปวีณาฯจะติดตามผลต่อไป

ล่าสุดวันที่ 25 มิ.ย.68 เวลา 14.30 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้ประสานกับ นายแพทย์วิโรจน์ รัตนอมรสกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม (สสจ.นครปฐม) โดยรับจะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของเด็กทารก และเยียวยาตามมาตรา 41 กับครอบครัวผู้สูญเสียบุตรคนแรกโดยด่วน และนางปวีณา ได้ประสาน นางกิจติยา ใสสอาด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม (พมจ.นครปฐม) เพื่อให้การช่วยเหลือครอบครัวฟื้นฟูสภาพจิตใจแม่สูญเสียลูกร่วมกับมูลนิธิปวีณาฯ โดยวันที่ 26 มิ.ย.68 เวลา 14.00 น. นางปวีณา จะพาแม่เด็กผู้เสียหายไปพบเพื่อประชุมหารือกับ นายแพทย์วิโรจน์ รัตนอมรสกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม และนางกิจติยา ใสสอาด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม หามาตราการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียหายที่สูญเสียลูกน้อยต่อไป.

นางณี อายุ 43 ปี และน.ส.อร อายุ 19 ปี ยายและแม่ (ทั้งสองนามสมมุติ) เดินทางจากจ.นครปฐม เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอความเป็นธรรม โดย น.ส.อร แจ้งว่า ตนต้องสูญเสียลูกสาวที่เพิ่งคลอดออกมาได้ 5 วัน หลังวันที่ 18 มิ.ย.68 ลูกสาวปวดท้องคลอดลูก ตอนตี 2 ของวันที่ 18 มิ.ย.68 ซึ่งเป็นท้องครั้งแรก ระหว่างนอนรอคลอด ลูกสาวรู้สึกปวดท้องถี่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง 8 โมงกว่า ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร มีน้ำคร่ำและเลือดไหลออกมา เด็กพร้อมจะออก แต่พยาบาลสั่งให้อั้นเอาขาหนีบไขว่กันไว้ข้างหลังก่อน โดยอ้างว่า ยังไม่พร้อม จนกระทั่งเวลา 09.00 น.เศษ เด็กคลอดออกมามีภาวะสำลักขี้เทาเสียชีวิต

น.ส.อร กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเป็นพนักงานบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง ได้ค่าแรงวันละ 339 บาท ใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษา ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ตนได้ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลรัฐแห่งที่ 1 และไปตามนัดของแพทย์ทุกครั้งจนท้องเข้าเดือนที่ 9 เดือนมิ.ย.68 ไปพบแพทย์วันที่ 4 มิ.ย. และ 11 มิ.ย.68 แพทย์แจ้งว่า แม่และลูกแข็งแรงดี และมีกำหนดคลอดคือวันที่ 22 มิ.ย.68 โดยแพทย์นัดให้ไปพบอีกครั้งก่อนกำหนดคลอดในวันที่ 18 มิ.ย.68 แต่จู่ๆ คืนวันที่ 17 มิ.ย. ต่อเนื่องวันที่ 18 มิ.ย. เวลา 02.00 น. ตนได้ปวดท้องมากเหมือนจะคลอดลูกจึงรีบไปโรงพยาบาลกลางดึก พยาบาลตรวจพบว่าปากมดลูกเปิด 2 เซนติเมตร จึงให้นอนรอในห้องคลอดก่อน

ต่อมาเวลาประมาณ 6 โมงกว่า พยาบาลได้มาตรวจปากมดลูกอีกครั้งพบว่าเปิด 4 เซนติเมตรแล้ว ตนเริ่มมีอาการปวดท้องมากและปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ และมีน้ำคร่ำปนเลือดไหลออกมาเยอะมาก พยาบาลได้นำผ้ารองเตียงผืนใหม่มาเปลี่ยนให้และบอกให้รอจนกว่าปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ก่อน ตนรู้สึกว่าปวดท้องจะไม่ไหวแล้ว ตนจึงถามพยาบาลว่าขอผ่าคลอดหรือเร่งให้คลอดได้ไหม พยาบาลบอกไม่ได้ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาคลอด กระทั่งเวลาประมาณ 8 โมงกว่า ตนปวดท้องมากเหมือนเด็กจะโผล่หัวออกมา พยาบาลมาดูก็บอกปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร แต่พยาบาลบอกยังไม่พร้อม ให้ตนเปลี่ยนท่านอนตะแครงข้างเอาขาหนีบไว้แล้วไขว้ไปข้างหลังอั้นเอาไว้ก่อน ระหว่างนั้นมีเคสรายใหม่ปวดท้องคลอดเข้ามาพยาบาลประมาณ 6-7 คน จึงพากันไปอยู่ที่เตียงนั้น จนเวลาประมาณ 9 โมงกว่า ตนปวดท้องมากจึงร้องโอดโอยพยาบาลจึงเดินเข้ามาถามว่าปวดมากไหม ตนตอบไปว่าปวดมากไม่ไหวแล้ว จากนั้นพยาบาลให้ตนนอนหงายท้องอ้าขาและบอกว่าหัวเด็กโผล่ออกมาแล้ว จากนั้นเด็กก็คลอดออกมาทันที แม่ได้ยินเสียงลูกร้องแอะครั้งเดียวก่อนจะเงียบไป ประมาณ 5 นาที พยาบาลได้มาแจ้งกับตนว่า เด็กเกิดภาวะขาดออกซิเจน, สำลักขี้เทา จะต้องรีบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งที่ 2 ในจ.นครปฐม โดยด่วน หลังส่งลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งที่ 2 ได้ 5 วัน เด็กอาการยังอยู่ในขั้นวิกฤติ แพทย์พยายามรักษาจนสุดความสามารถมาแต่ก็ยื้อชีวิตเด็กไว้ไม่ได้ ลูกของตนได้เสียชีวิตลงในเวลา 10.47 น. วันที่ 23 มิ.ย.68 โดยแพทย์ระบุสาเหตุการตายจาก "ภาวะสำลักขี้เทา"
น.ส.อร กล่าวอีกว่า แม่และครอบครัวยังทำใจไม่ได้ที่สูญเสียลูกสาวคนแรกที่อุตส่าห์อุ้มท้องถึง 9 เดือน ประคบประหงมอย่างดี ไม่น่าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม่และครอบครัวติดใจสงสัยการให้บริการของโรงพยาบาลแห่งที่ 1 ปล่อยให้ปวดท้องนานเกินไปจนน้ำคร่ำแตกแล้วแต่ยังไม่ยอมให้คลอด ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียลูกที่อุ้มท้องมา 9 เดือน จึงอยากให้ รพ.ปรับปรุงการให้บริการดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยให้มากกว่านี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก และต้องการความเป็นธรรม ขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว
หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้กล่าวแสดงความเสียใจกับ น.ส.อร และครอบครัว โดยจะประสาน นายแพทย์วิโรจน์ รัตนอมรสกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบ 1.การบริการของโรงพยาบาลแห่งที่ 1 ว่าเพราะเหตุใดเมื่อน้ำคร่ำแตกแล้วจึงไม่ทำคลอดให้เด็กออกมา 2.ตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของทารกว่าเพราะเหตุใด เพื่อให้กระจ่างและความเป็นธรรมกับน.ส.อร และครอบครัวต่อไป





ความคิดเห็น