พ่อใจจะขาดลูกสาววัย 11 ปี เรียนอยู่ชั้นป.5 ผูกคอหวังฆ่าตัวตายในห้องน้ำโรงเรียน เพื่อนวิ่งไปบอกครูช่วยส่งรพ. ผ่านไปเกือบ 3 สัปดาห์ยังเป็นเจ้าหญิงนิทรา สงสัยปมลูกถูกเพื่อนล้อหนัก และถูกแกล้งรุนแรงเป็นเหตุ ร้อง “ปวีณา” ช่วยให้ความเป็นธรรม
วันพุธที่ 18 ธ.ค.62 ที่รพ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินทางไปเยี่ยมด.ญ.หนึ่ง (นามสมมุติ) อายุ 11 ปี นักเรียนชั้นป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่นอนพักรักษาตัวเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่ห้องไอซียู หลังพยายามผูกคอตายในห้องน้ำ แต่เพื่อนเห็นเข้าห้องน้ำนานผิดปกติจึงวิ่งไปตามครูมาช่วยก่อนนำส่งรพ. จากการตรวจร่างกายพบว่าสมองขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน โดยนายโชค (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี พ่อของด.ญ.หนึ่ง ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมมายังมูลนิธิปวีณาฯ เนื่องจากสงสัยสาเหตุที่ลูกสาวทำลงไป ขอให้ครูกับเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยให้ความกระจ่าง เพราะก่อนหน้านี้ลูกสาวก็ถูกเพื่อนรุมแกล้งทำร้ายร่างกาย และล้อเลียนทำร้ายจิตใจ
โดยหลังรับเรื่องนางปวีณา ได้ประสาน นพ.วรเชษฐ เต๋ชะรัก ผอ.รพ.นครพิงค์ เพื่อสอบถามอาการด.ญ.หนึ่ง และทราบว่าแพทย์จะต้องเจาะคอด.ญ.หนึ่งเพราะไม่สามารถหายใจได้เอง ก่อนจะเดินทางมาเยี่ยมด้วยความห่วงใยในวันนี้ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวด.ญ.หนึ่ง จำนวน 5 พันบาท เนื่องจากมีฐานะยากจน พร้อมกันนี้ นางปวีณา ได้ประสาน นายธีร์ ภวังคนันท์ รักษาการ ผู้อำนวยการ สำนักอำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนายชนะ สุ่มมาตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อมิให้มีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นอีก และประสาน พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พ.ต.อ.วิชาธร ผิวพรรณ ผกก.สภ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ให้ความกระจ่างหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุและสอบปากคำพยาน พร้อมกันนี้นางปวีณาจะได้ประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ให้ความช่วยเหลือด.ญ.หนึ่งต่อไป
แพทย์เจ้าของไข้ เปิดเผยอาการของด.ญ.11 ขวบ ว่า หลังรับเด็กมาที่รพ. พบว่าขาดอากาศหายใจมา 16 นาทีแล้ว หลังให้การรักษาขณะนี้ถือว่าพ้นวิกฤติแล้ว ตอนนี้อาการสมองตื่น ลืมตาแต่ไม่รับรู้ มาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว ควบคุมการหายใจไม่ได้ต้องเจาะหลอดลมช่วยการหายใจ ต้องทานอาหารทางสายยางเพราะกลืนเองไม่ได้ และเนื่องจากใส่เครื่องช่วยหายใจมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มีอาการติดเชื้อที่ปอดอยู่ระหว่างให้ยารักษา หลังอาการดีขึ้นเด็กจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทางรพ.จะมีคอร์สสอนพ่อแม่กลับไปดูแลที่บ้านต่อ
ด้านนางปวีณา กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังได้รับเรื่องร้องเรียนก็พบว่าเกิดมานานประมาณ 3 สัปดาห์แล้ว ต่อมาได้ประสานกับหมอของโรงพยาบาล ก็ทราบว่าเด็กขาดอากาศหายไปน่าจะประมาณ 16 นาทีแล้ว การรักษาก็ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่รักษาตัวมานาน และเกรงว่าจะได้รับผลข้างเคียง ในวันนี้จึงได้ทำการเจาะคอของน้อง ด้วยความห่วงใยอยากให้น้องฟื้นกลับมาเป็นปกติ แต่ที่จริงแล้วคงเป็นเรื่องที่ยาก และต้องขอบคุณโรงพยาบาลที่ดูแลอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ประสานทาง นายชนะ สุ่มมาตย์ ผอ.ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เข้ามาดูแล พร้อมประสานกระทรวงศึกษาธิการในการหามาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก
นางปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า ห้องน้ำโรงเรียนทุกโรงเรียนของประเทศไทยถือว่าเป็นจุดบอด หากมีเหตุอันตรายกับเด็ก เกิดการอนาจาร หรือเรื่องที่มิดีมิร้ายเกิดขึ้น ก็ถือว่าอันตรายอย่างมาก ดังนั้น จึงอยากให้มีการติดตั้งไซเรนหรือเสียงออดแจ้งเตือน เช่นกรณีของน้องรายนี้ที่เกิดขึ้น หากเพื่อนพบก็กดออดแจ้งเตือน ทางอาจารย์ก็จะได้รีบเดินทางมาทันที
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทราบว่ามาจากเรื่องของการถูกเพื่อนชายจำนวน 3 คนกลั่นแกล้ง เมื่อประมาณเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยเพื่อนได้ใช้เท้าเหยียบแขนทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเหยียบใบหน้า แล้วล้อเลียนเรื่องตัวดำ พ่อมีฐานะยากจน เรื่องนี้คงเป็นสาเหตุหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นๆ หากมีก็จะเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้นก็ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง แต่การทำแบบนี้ไม่ใช่วัวหายล้อมคอก แต่ทุกคนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ต้องร่วมช่วยกัน มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ในโรงเรียน แม้ว่าจะมีอยู่แล้วแต่อาจจะไม่เพียงพอ เมื่อพบพฤติกรรมของเด็กที่เข้าข่ายความรุนแรงก็นำมาบำบัดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราไม่ได้ต้องการหาคนผิดแต่เรากำลังมองไปที่ปัญหา ที่เป็นสาเหตุเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีก
เรื่องดังกล่าวสืบเนื่องจาก วันจันทร์ที่ 16 ธ.ค.62 นายโชค (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ชาวจ.เชียงใหม่ ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง สังกัดกองสาธารณสุข มีหน้าที่ดูแลความสะอาดเก็บกวาดขยะในพื้นที่ ร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ด.ญ.หนึ่ง (นามสมมุติ) ลูกสาววัย 11 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผูกคอตัวเองหวังฆ่าตัวตายภายในห้องน้ำของโรงเรียน แต่เพื่อนที่เป็นเด็กพิเศษรออยู่หน้าห้องน้ำเห็นด.ญ.หนึ่งเข้าไปนานผิดสังเกตและได้ยินเสียงถีบประตูจึงได้เคาะประตูห้องน้ำเรียกให้ด.ญ.หนึ่งเปิดแต่ก็ไม่เป็นผล จึงวิ่งไปตามครูมาช่วยเปิดประตูจากนั้นพบว่า ด.ญ.หนึ่งใช้ผ้าขนหนูผูกคอตัวเองกับขื่อห้อยโตงเตง ก่อนที่ครูอาจารย์ในโรงเรียนจะช่วยเหลือนำด.ญ.หนึ่งส่งโรงพยาบาลและแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ10 โมงเช้า วันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา
นายโชค กล่าวอีกว่า วันนั้นหลังทราบเรื่องตนได้รีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูลูกทันที ใจแทบสลายเมื่อพบว่าลูกนอนไม่ได้สติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ลืมตาแต่พูดไม่ได้ แพทย์บอกว่าสาเหตุจากขาดอากาศหายใจ และจะต้องเจาะคอเพราะหายใจเองไม่ได้ จากนั้นครูที่โรงเรียนก็มาเยี่ยมด.ญ.หนึ่งและบอกกับตนว่า ลูกสาวตนผูกคอตายเอง และทางโรงเรียนก็ได้แจ้งตำรวจสภ.พร้าว ให้ทราบแล้ว ก่อนจะมอบเงินช่วยเหลือที่รวบรวมมาจากครูและผู้ปกครองในโรงเรียนจำนวนหนึ่ง พร้อมย้ำให้ปิดเรื่องไว้ไม่ให้บอกใคร ซึ่งตนก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าจะรอคำชี้แจงจากครูกับตำรวจก่อน แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมาร่วม 3 สัปดาห์ ตนก็ยังไม่ได้ความกระจ่างแต่อย่างใด ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมา 2 ครั้ง บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นคดีนะ เพราะด.ญ.หนึ่งผูกคอตายเอง จะไปโทษโรงเรียนก็ไม่ได้
“เมื่อช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ลูกเคยถูกเพื่อนผู้ชาย 3 คน รุมแกล้งโดยจับให้นอนกับพื้นและ 2 คนใช้เท้าเหยียบที่แขนทั้ง 2 ข้าง ส่วนอีกคนใช้เท้าเหยียบที่ใบหน้าจนได้รับบาดเจ็บเป็นรอยช้ำกลับมาบ้าน ซึ่งลูกก็มาเล่าให้ฟัง จากนั้นตนก็ไลน์ถามไปผอ.โรงเรียน ก็บอกว่าตรวจสอบแล้วพบว่าเด็กเล่นกันอาจแรงไปหน่อยซึ่งจะได้ตักเตือนเด็กทั้ง 3 คนไม่ให้ทำอีก จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากนี้บางวันลูกกลับบ้านมากอดพ่อแล้วร้องไห้เล่าว่า ถูกเพื่อนล้อว่าบ้านจน ตัวเตี้ยดำ พ่อขี่จยย.ขนขยะมาส่ง อยู่บ่อยๆ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเสียใจ น้อยใจจนมีความกดดันอย่างหนักหรือไม่ นอกจากนี้ตนก็ยังคิดไปต่างๆ นานาว่า ก่อนที่ลูกจะไปผูกคอในห้องน้ำอาจจะมีใครล้อหรือพูดอะไรทำร้ายจิตใจบ้างหรือไม่ เพราะตนไม่อยากจะเชื่อว่าลูกจะผูกคอตายเอง ปกติลูกสาวจะเป็นเด็กร่าเริง อารมณ์ดี ชอบร้องเพลง รักสัตว์ ไม่มีท่าทีที่จะทำร้ายตัวเองมาก่อน ทั้งนี้ตนอยากให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยประสานให้ความกระจ่างกับตนและครอบครัวด้วย” นายโชค กล่าวนายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวอีกว่า ตนทำงานมีรายได้เพียงเดือนละ 8 พันบาท ภรรยาก็ป่วยเป็นโรคเลือด ทำงานไม่ได้ มีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3 คนละโรงเรียนกับด.ญ.หนึ่ง น้องสาว ทางครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่พอรายจ่าย ทุกวันนี้ต้องวิ่งไปดูลูกสาวที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไกลจากบ้าน 90 กว่ากิโลเมตร แม้จะใช้สิทธิ 30 บาท ในการรักษาแต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่ายานอกบัญชี ครอบครัวจึงต้องอยู่อย่างลำบาก.
Comments