ปทุมธานี พ่อเข็นวิลแชร์พาลูกร้องปวีณา ถูกหลอกไปอุ้มบุญที่จอร์เจีย โดนฉีดยาจนร่างกายอัมพาตครึ่งซีก
- ทีมงานมูลนิธิปวีณาฯ
- 2 วันที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที

วันที่ 15 ธ.ค.68 พ่อเข็นรถวิลแชร์พาน.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี ในสภาพเป็นสโตรกอัมพาตครึ่งซีก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร้องทุกข์ "ปวีณา" ถูกหลอกไปอุ้มบุญที่จอร์เจีย อ้างว่าจะได้ค่าตอบแทนกว่า 4 แสนบาท ถูกใส่ตัวอ่อนตั้งท้องแล้วประมาณ 1 เดือน ถูกฉีดยากันแท้งทุกวัน วันละ 2 เข็มที่หน้าท้องและสะโพกจนเป็นสโตรก เส้นเลือดสมองแตก แท้งลูก เข้ารักษาที่โรงพยาบาลในจอร์เจียนาน 1 เดือนเศษ ก่อนถูกส่งตัวกลับมาไทย ต้องเซ็นรับสภาพหนี้สินในการรักษากว่า 5 แสนบาทกับกระทรวงการต่างประเทศ จ่ายให้กับโรงพยาบาลที่จอร์เจียพร้อมค่าตั๋วเครื่องบินส่งกลับไทย โดยบริษัทที่จ้างอุ้มบุญไม่ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ขณะนี้ร่างกายยังเป็นอัมพาตครึ่งซีก ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดตามเนื้อตัว นอนไม่ได้ต้องนั่งหลับ และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลูกชายอายุ 10 ขวบเรียนอยู่ชั้นป.4 ต้องลาออกจากโรงเรียนมาดูแลแม่ ต้องการเอาผิดกับผู้ที่หลอกลวงไปอุ้มบุญ บริษัทที่รับอุ้มบุญ และโรงพยาบาลในจอร์เจียที่ฉีดยาจนเป็นสโตรก เนื่องจากครอบครัวฐานะยากจนและเครียดปัญหาหนี้สินที่ไม่มีปัญญาชดใช้ ขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือ "ปวีณา" ประสาน นพ.ประกิจ สาระเทพ สสจ.สมุทรสาคร ช่วยเหลือส่งตัวน.ส.เอ เข้าตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสมุทรสาครในวันที่ 16 โดยแพทย์รพ.สมุทรสาคร ได้ทำการตรวจร่างกาย น.ส.เอ อย่างละเอียด ประกอบกับดูประวัติการรักษาในรพ.ประเทศจอร์เจีย ซึ่งหลังจากนี้ น.ส.เอ กับลูกชายจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่จ.ชัยนาท เพื่อพ่อแม่จะได้ดูแล และลูกชายจะได้ไปเรียนหนังสือ ทางรพ.สมุทรสาคร จึงได้ทำใบส่งตัวไปรักษาต่อที่รพ.ชัยนาท ทั้งนี้จะมีการทำ CT Scan สมอง และรักษากายภาพบำบัดเพื่อให้น.ส.เอ สามารถกับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง โดยนางปวีณา จะร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อติดตามการช่วยเหลือ “ปวีณา” เตือนภัย สาวไทยที่คิดจะไปอุ้มบุญอย่าไปเด็ดขาด เสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย และเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพร่างกายอาจถึงตายก็ได้

น.ส.เอ เล่าว่า ตนเป็นพนักงานห้างแห่งหนึ่ง อาศัยอยู่ย่านบางขุนเทียน กรุงเทพฯ รายได้เดือนละ 1 หมื่นบาทเศษ ต้องเลี้ยงลูกชาย 10 ขวบ 1 คน ช่วงเดือนเม.ย.68 น.ส.บี (นามสมมุติ) เป็นหญิงไทยอายุประมาณ 30 กว่าปี ซึ่งมีเพื่อนแนะนำให้รู้จักกำลังอุ้มบุญอยู่ที่ประเทศจอร์เจีย ได้ติดต่อมาชักชวนให้ตนไปอุ้มบุญ บอกว่าถ้ามีลูกสำเร็จจะได้ค่าตอบแทน 4 แสนกว่าบาท ด้วยความที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายตนจึงตัดสินใจเดินทางไปประเทศจอร์เจีย เมื่อไปถึงทางบริษัทที่น.ส.บี อุ้มบุญอยู่ได้พาไปตรวจร่างกายแต่ไม่ผ่าน เพราะตนมีภาวะความดัน ต่อมาอีกน.ส.บี จึงได้ติดต่ออีกบริษัทหนึ่งให้ไปอุ้มบุญและพาไปตรวจร่างกาย โดยบอกว่า หากใส่ตัวอ่อนครบ 3 ครั้งแล้ว ถึงแม้จะไม่ตั้งท้องก็จะซื้อตั๋วกับไทยให้ ตนจึงหลงเชื่อทำตามเพราะเดินทางไปถึงจอร์เจียแล้ว

ระหว่างอยู่ที่นั่นเวลามีประจำเดือนตนจะต้องไปตรวจภายในที่โรงพยาบาลว่าไข่ตกหรือไม่ พร้อมกับใส่ตัวอ่อน โดยเดือนแรกไม่ติด เดือนที่ 2 ใส่ตัวอ่อนแล้วตกเลือด เดือนที่ 3 ช่วง ก.ย.68 ใส่ตัวอ่อนแล้วประมาณ 10 วันไปตรวจเลือด ตรวจเบต้า พบว่าตั้งท้องแล้ว จากนั้นทางโรงพยาบาลได้ให้ยาฉีดและยากินกลับมาโดยทุกวันจะต้องฉีดยากันแท้งวันละ 2 เข็ม ที่หน้าท้องและสะโพก โดยบริษัทอุ้มบุญจะให้เพื่อนคอยฉีดยาให้ เวลาฉีดยาจะเกิดอาการร้อนวูบในท้อง แล้วปวดตามเนื้อตัว

กระทั่งกลางดึกวันที่ 27 ก.ย.68 ตนอยู่ในห้องคนเดียวเกิดอาการหน้ามืดเวียนหัว ลุกไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ต้องอดทนจนเช้าได้บอกเพื่อนแจ้งกลับทาง นายซี ผู้จัดการบริษัท เรียกรถมารับไปส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่า ตนเส้นเลือดในสมองแตกเกิดจากสโตรก แต่ยังไม่ต้องผ่าตัด หมอได้ให้ยากิน และให้ยาทำแท้งฉีดยาที่หน้าท้อง ทุกข์ทรมานประมาณ 1 เดือน นอนอยู่โรงพยาบาลช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกจากเตียงไม่ได้ ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ทำกายภาพบำบัดให้ และตรวจเช็กสมองว่าเลือดไม่ออกแล้ว เด็กในท้องก็หลุดไปแล้ว จึงได้ส่งตัวกลับมาที่ไทย โดยทางบริษัทที่ให้อุ้มบุญได้ติดต่อสถานทูตไทยช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งตนต้องเซ็นรับสภาพหนี้กว่า 500,000 บาท ก่อนถูกส่งตัวกลับมาไทยในวันที่ 14 พ.ย.68 โดบบริษัทที่ให้อุ้มบุญไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ทุกวันนี้ตนยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และมีอาการปวดหลัง นอนไม่ได้ต้องนั่งหลับ ปวดตามเนื้อตัว ซีกซ้ายขยับไม่ได้ ลูกชาย 10 ขวบ เรียนอยู่ป.4 ต้องลาออกจากโรงเรียนมาดูแลแม่ ชีวิตตนต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด และต้องทุกข์ใจกับหนีสินกว่า 5 แสนบาทที่ไม่มีปัญญาชดใช้ ตนต้องการเอาผิดกับ น.ส.บี ที่ชักชวนไป พร้อมกับบริษัทที่ให้อุ้มบุญ และโรงพยาบาลในจอร์เจียที่ฉีดยาให้ตนจนต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

